วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

09 กันทคลกชาดก : นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้เลียนแบบอย่างพระองค์แล้วถึงความพินาศ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานชื่อขทิรวนิยะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ตะเคียนแห่งหนึ่ง มีเพื่อนนกหัวขวานตัวหนึ่งชื่อกันทคลกะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ทองหลางแห่งหนึ่ง
          ในวันหนึ่ง นกกันทคลกะมาหานกขทิรวนิยะที่ป่าไม้ตะเคียน นกขทิรวนิยะดีใจที่เพื่อนมาเยี่ยมจึงพาเพื่อนไปที่ต้นตะเคียนต้นหนึ่ง ใช้จะงอยปากเคาะต้นตะเคียนคาบตัวหนอนให้พื่อนกินอย่างอร่อย หกกันทคลกะเห็นเพื่อนส่งอาหารมาให้กิน ก็คิดอยากจะลองหากินแบบเพื่อนดูบ้างจึงพูดขึ้นว่า
          "สหาย อย่าได้ลำบากเลย เราจะหากินในป่าตะเรียนด้วยตัวของเราเอง"
          นกขทิรวนิยะพูดห้ามว่า "สหาย ท่านเคยหากินอยู่แต่ในเขตป่าไม้ไม่มีแก่น ไม้ตะเคียนเป็นไม้มีแก่น ท่านจะไหวหรือ ?"
          นกกันทคลกะพูดว่า "เราก็นกหัวขวานเหมือนกันกับท่านนี่"
          ว่าแล้วก็ผลุนผันไปเอาจะงอยปากเคาะต้นตะเคียนต้นหนึ่งสุดแรงเกิด ดัง "ป๊อก ๆ ๆ"ทันใดนั่นเองจะงอยปากของมันได้หักทันทีตาทะลักออก หัวแตกตกจากต้นไม้ลงพื้นดิน นอนดิ้นไปมาได้ร้องถามก่อนสิ้นใจว่า
          "สหาย ต้นไม้ที่มีใบละเอียด มีหนามนี้เป็นต้นอะไร เราเจาะเพียงครั้งเดียว ทำให้สมองไหลหัวแตกเสียแล้ว" นกขิทรวนิยะได้ร้องตอบเป็นคาถาว่า
          "นกกันทคลกะ เมื่อเจาะหมู่ไม้ในป่าได้เคยเที่ยวเจาะแต่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ภายหลังมาพบต้นตะเคียนซึ่งมีแก่นโดยธรรมชาติ ได้ทำลายกระหม่อมที่ต้นตะเคียนนั้นแล้ว"
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าอวดเก่งในสิ่งที่ตนเองไม่ชำนาญ

08 สตธรรมชาดก : อาหารไม่บริสุทธิ์


อาหารไม่บริสุทธิ์
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภการแสวงหาไม่ควร ๒๑ ประการ มีการเป็นพระหมอดู เป็นต้น ของพวกภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นคนจัณฑาล (คนทุกข์ยาก) ในเมืองพาราณสี เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว วันหนึ่งได้เดินทางไปต่างเมืองด้วยกิจธุระอย่างหนึ่ง จึงเตรียมข้าวสารและห่อข้าวเป็นเสบียง ในวันนั้น สตธรรมมานพ ลูกชายของพราหมณ์ตระกูลดังประจำเมืองพาราณสีก็เดินทางไกลเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เตรียมเสบียงอาหารอะไรไปด้วย
          ชายหนุ่มทั้งสองคนมาพบกันที่ทางใหญ่ สนทนากันทราบเรื่องแล้วก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน พอเดินทางไปได้เวลาอาหารเช้า ก็ชวนกันแวะลงข้างทางที่สระน้ำลูกหนึ่ง พระโพธิสัตว์ล้างมือแล้วแก้ห่อข้าว เชิญชวนสตธรรมมานพร่วมกินข้าวด้วยกัน เมื่อได้รับคำปฏิเสธจากสตธรรมมานพแล้วก็แบ่งข้าวไว้ครึ่งหนึ่ง กินไปครึ่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ห่อไว้ตามเดิม ล้างมือแล้วชวนกันออกเดินทางต่อไป
          จนกระทั่งเวลาเย็นชายหนุ่มทั้งสองจึงชวนกันแวะลงข้างทางอาบน้ำในสระแห่งหนึ่ง แล้ว พระโพธิสัตว์ก็แวะไปนั่งกินข้าวอย่างสำราญอยู่คนเดียวโดยไม่ได้เชิญชวนสตธรรมมานพอีก เพราะเข้าใจว่าถึงชวนก็คงไม่กินอยู่ดี ฝ่ายสตธรรมมานพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หิวข้าวก็หิวได้แต่มองดูเขากินข้าว พร้อมกับคิดในใจว่า
               "ถ้าเขาชวนเรากินข้าวด้วย ครั้งนี้เราต้องกินด้วยแน่ ๆ"
               พระโพธิสัตว์ก็ไม่พูดอะไรกินข้าวท่าเดียว
               สตธรรมมานพจึงคิดว่า "มันไม่ชวนเรา เราจะแอบกินข้าวเหลือเดนมันก็ได้วะ"
               เขาได้แอบไปกินข้าวเหลือเดนนั้น เมื่อกินเสร็จแล้วก็เกิดความไม่สบายใจว่า
               "เราทำอะไรนี่ กินอาหารเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว"
               ทันใดนั่นเองเขาก็ได้อาเจียนออกมาเป็นเลือดคร่ำครวญอยู่ว่า
               "เรากินอาหารที่เป็นเดนของคนสกุลต่ำ เราเป็นชาติพราหมณ์บริสุทธิ์ไม่น่าจะทำเลย"
          คร่ำครวญเสร็จก็เดินโซซัดโซเซเข้าป่าไปและเสียชีวิตในที่สุด
          พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานแล้วจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เพราะสตะรรมมานพบริโภคอาหารอันเป็นเดนของคนจัณฑาล จึงคิดเสียใจ ฉันใด ผู้บวชในพระพุทธศาสนานี้ก็ไม่ควรเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาที่ไม่เหมาะไม่ควร ฉันนั้น" ได้ตรัสพระคาถาว่า
          "ภิกษุใดละทิ้งธรรมเสีย หาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรมภิกษุนั้นก็ย่อมไม่เพลินด้วยลาภแม้ที่ตนได้มาแล้วเปรียบเหมือนสตธรรมมานพ"
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่ากินอาหารโดยไม่พิจารณาเสียก่อน และอย่าเลี้ยงชีพด้วยอาชีพที่ผิดกฎหมาย

07 ปัณฑรกาชาดก : นาคกับพญาครุฑ

นาคกับพญาครุฑ
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พูดมุสาแล้วถูกแผ่นดินสูบ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีประมาณ ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปในมหาสมุทรเพื่อไปค้าขายเมือง อื่น ในวันที่ ๗ สำเภาถูกพายุกระหน่ำล่มกลางทะเล ผู้คนล้มตาย เป็นเหยื่อของปลาหมดหลงเหลือเพียงชายคนหนึ่งถูกลมพัดกระหน่ำไปขึ้นที่ฝั่งท่าน้ำกทัมพิยะ เสิ้อผ้าไม่มี เปลือยกายล่อนจ้อน เดินเที่ยวขอทานอยู่
          พวกชาวบ้านพบเห็นเขาก็พากันยกย่องเขาว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นนักบวช จึงพากันสักการะบูชาเขาเป็นการใหญ่ นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะนุ่งห่มเสื้อผ้าได้ลาภสักการะจำนวนมาก ถูกคนเรียกหาว่า กทัมพิยอเจลกะ (ชีเปลือยทัมพิยะ)
          ในสมัยนั้น มีพญานาคตนหนึ่งชื่อบัณฑรกนาคราช และพญาครุฑตนหนึ่งจะพากันมาปรึกษาชีเปลือยนั้นอยู่เป็นประจำอยู่มาวันหนึ่งพญาครุฑมาหาชีเปลือยแล้วขอร้องว่า "ท่านขอรับพวกญาติของผมจำนวนมาก ตายเพราะจับพวกนาคโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอความกรุณาจากท่านช่วยถามพญานาคให้ผมด้วยเถิด"
          ชีเปลือยนั้นรับคำจะถามให้ เมื่อพญานาคมาหาจึงถามความนั้นพญานาคตอบว่า "ท่านขอรับเรื่องนี้เป็นความลับของพวกกระผม ถ้าผมบอกท่านเท่ากับผมนำความตายมาสู่ตนเอง และพวกญาติ จึงไม่ขอตอบได้ไหม"
          ชีเปลือย "พญานาค เราจะไม่บอกใครหรอก ถามเพราะอยากจะทราบเท่านั้นเองละ จงบอกเถิด"
          พญานาคตอบว่า "ผมบอกไม่ได้หรอกครับท่าน" ไหว้ชีเปลือยแล้วก็กลับไป ชีเปลือยถามเช่นนั้นอยู่ ๒ วัน พญานาคก็ไม่ยอมบอกเช่นเดิม ในวันที่ ๓ พญานาคพอถูกชีเปลือยถามอีกจึงกำชับชีเปลือยอย่าได้บอกใคร แล้วก็เล่าให้ฟังว่า "ท่านขอรับเพราะพวกกระผมกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนักนอนอยู่ เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางของพวกเราหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกเราไปได้ ความลับก็มีอยู่เท่านี้แหละท่าน" แล้วก็ลากลับไป
          อีกวันต่อมา เมื่อพญาครุฑมาหาเปลือยผู้ทุศีลก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พญาครุฑจึงปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า "ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ "
          พญาครุฑพูดว่า "ท่านนาคราช ท่านบอกความลับแก่ชีเปลือยแล้ว จะมาคร่ำครวญอยู่ทำไม สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลกขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครๆ ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
          "บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี ศัตรู คนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ"
          พญานาคได้ฟังธรรมของพญาครุฑแล้วอ้อนวอนขอชีวิตว่า "ท่านพยาครุฑ ข้าพเจ้าขอชีวิตจากท่าน ขอท่านจงตั้งตนดุจเป็นมารดาของข้าพเจ้าเถิด"
          พญาครุฑตอบว่า "เอาเถอะ เราจะปล่อยท่านไป แต่ว่า บุตรมี ๓ จำพวก คือ ศิษย์ บุตรบุญธรรม และบุตรตัวเอง ท่านยินดีจะเป็นบุตรประเภทไหนของเราละ" ว่าแล้วก็ปล่อยพญานาคไป สัตว์ทั้ง ๒ ก็อยู่กันอย่างสามัคคีกันเช่นเดิม
          ต่อมาวันหนึ่งสัตว์ทั้ง ๒ ได้ชวนกันไปหาชีเปลือยอีก พญาครุฑทราบว่าพญานาคจักหมายชีวิตชีเปลือย จึงไม่เข้าไปหาปล่อยให้แต่พญานาคผู้เดียวเข้าไปหาชีเปลือยนั้น พญานาคได้กล่าวติเตียนและสาบแช่งชีเปลือยว่า "ท่านเป็นคนเลวทรามประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ไม่รักษาคำสัตย์ ขอให้หัวของท่านจงแตกเป็น ๗ เสี่ยง" กล่าวจบก็พากันกลับไปที่อยู่ของตนส่วนชีเปลื่อยพอสัตว์ทั้ง ๒ จากไปเท่านั้น หัวก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยงสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในนรก
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความลับไม่ควรเปิดเผยให้ใครที่ไหนทราบดังคำมีว่า ความลับไม่ให้ถึงสาม ความงามไม่ให้ถึงสี่ ความมิดความหมี่ไม่ให้ถึงห้าถึงหก
 

06 มหาสุวราชชาดก : พญานกแขกเต้าผู้สันโดษ

พญานกแขกเต้าผู้สันโดษ
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ ธรรมดาสมณเมื่อมาถึงเสนาสนะเป็นที่สบายแล้วก็ไม่ควรโลภในอาหาร ยินดีตามมีตามได้ ปฏิบัติสมณธรรม โบราณบัณฑิตแม้เป็นสัตว์ดิรัจฉาน กินผงแห้งของต้นไม้ที่ตนอยู่อาศัย มีความสันโดษไม่ทำลายมิตธรรมหนีไปที่อื่นเลย" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ป่าไม้มะเดื่อแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีนกแขกเต้าหลายแสนตัว ต่อมาในฤดูแล้งผลมะเดื่อได้หมดลง นกแขกเต้าทั้งหลายได้พากันบินหนีไปหากิน ณ ที่อื่น ยังคงเหลือแต่พญานกแขกเต้าตัวหนึ่งเท่านั้น เป็นผู้มักน้อยสันโดษไม่หนีไปที่อื่น เมื่อผลมะเดื่อหมดก็กินหน่อ ใบ เปลือกและสะเก็ดของต้นมะเดื่อตามลำดับโดยไม่คิดจะหนีไปไหน เป็นเหตุให้บัลลังก์ของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน เพื่อทดสอบจิตใจของพญานกแขกเต้า ท้าวเธอจึงบันดาลให้ต้นมะเดื่อที่นกแขกเต้าอาศัยอยู่นั้นตายและแห้งลงมีลำต้นแตกเป็นช่องน้อยใหญ่ เวลาลมพัดจะมีเสียงดัง มีผงไม้ไหลออกมาตามช่องที่แตกนั้น นกแขกเต้าก็ไม่หนีไปไหนก็ยังกินผงไม้ไหลออกมาตามช่องที่แตกนั้นแหละเป็นอาหาร จนสุดท้ายต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ พญานกแขกเต้าก็ไม่หนีไปไหน ยังคงจับอยู่ที่ตอต้นไม้นั้น
          ท้าวสักกะเมื่อทราบว่าพญานกแขกเต้ามีความมักน้อยสันโดษจริง ๆ จึงแปลงร่างเป็นพญาหงส์ มีนางสุชาดาเป็นนางหงส์ติดตามไปด้วย บินไปจับที่ตอมะเดื่อใกล้พญานกแขกเต้านั้นแล้วเจรจาว่า
          "นกแขกเต้า ผู้มีจะงอยปากสีแดงท่านควรไปที่อื่นได้แล้วอย่ามาตายที่ตรงนี้เลย ท่านมาเยื่อใยอะไรกับต้นไม้แห้งนี้ ต้นไม้อื่นมีถมเถไป"
          พญานกแขกเต้าร้องตอบว่า "ท่านพญาหงส์ใครเป็นเพื่อนในยามทุกข์ยาก ผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ย่อมไม่ทอดทิ้งเพื่อนผู้มีทรัพย์และไร้ทรัพย์ ต้นไม้นี้เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งญาติของเรา เราเพียงต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงไม่อาจทิ้งต้นไม้นี้ไปได้ เพราะเหตุเพียงไม่มีผล นี่ไม่ยุติธรรมเลย"
          พญาหงส์พอได้ฟังก็ยินดีและสรรเสริญว่า "นกแขกเต้าความเป็นเพื่อนไมตรีสนิทสนมคุ้นเคยกันกับต้นไม้ท่านทำไว้ดีแล้ว ขอสรรเสริญท่านเราจะให้พรแก่ท่าน ท่านจงเลือกพรตามในประสงค์เถิด"
          พญานกแขกเต้าขอพรว่า "ท่านพญาหงส์..เราขอเพียงให้ต้นไม้นี้มีชีวิตมีผลหวานอร่อยเหมือนเดิมเท่านั้นก็พอ"
พญาหงส์จึงพูดว่า "นกแขกเต้า .. ขอท่านจงอยู่กับต้นมะเดื่อที่สมบูรณ์พร้อมตลอดไปเถิด" ว่าแล้วก็คืนร่างเป็นท้าวสักกะเหมือนเดิม แสดงอานุภาพทำให้ต้นมะเดื่อนั้นสมบูรณ์พร้อมทั้งใบและผลยืนต้นอย่างสง่างามเหมือนเดิม
พญานกแขกเต้าเห็นเช่นนั้นจึงสรรเสริญท้าวสักกะว่า "ท้าวสักกะ ขอพระองค์พร้อมด้วยคณาญาติ มีความสุขเหมือนข้าพระองค์มีความสุข เพราะได้เห็นต้นผลิตผลในวันนี้ด้วยเถิด"
          ท้าวสักกะครั้นประทานพรให้นกแขกเต้าได้สมประสงค์แล้วพร้อมนางสุชาดา ก็กลับคืนวิมานของตนตามเดิม
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : จงพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ และเพื่อนที่ดีไม่ละทิ้งเพื่อนไปในยามทุกข์ยาก