วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

09 กันทคลกชาดก : นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น

นกหัวขวานตายเพราะไม้แก่น
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้เลียนแบบอย่างพระองค์แล้วถึงความพินาศ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นนกหัวขวานชื่อขทิรวนิยะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ตะเคียนแห่งหนึ่ง มีเพื่อนนกหัวขวานตัวหนึ่งชื่อกันทคลกะ เที่ยวหากินอาหารอยู่ในป่าไม้ทองหลางแห่งหนึ่ง
          ในวันหนึ่ง นกกันทคลกะมาหานกขทิรวนิยะที่ป่าไม้ตะเคียน นกขทิรวนิยะดีใจที่เพื่อนมาเยี่ยมจึงพาเพื่อนไปที่ต้นตะเคียนต้นหนึ่ง ใช้จะงอยปากเคาะต้นตะเคียนคาบตัวหนอนให้พื่อนกินอย่างอร่อย หกกันทคลกะเห็นเพื่อนส่งอาหารมาให้กิน ก็คิดอยากจะลองหากินแบบเพื่อนดูบ้างจึงพูดขึ้นว่า
          "สหาย อย่าได้ลำบากเลย เราจะหากินในป่าตะเรียนด้วยตัวของเราเอง"
          นกขทิรวนิยะพูดห้ามว่า "สหาย ท่านเคยหากินอยู่แต่ในเขตป่าไม้ไม่มีแก่น ไม้ตะเคียนเป็นไม้มีแก่น ท่านจะไหวหรือ ?"
          นกกันทคลกะพูดว่า "เราก็นกหัวขวานเหมือนกันกับท่านนี่"
          ว่าแล้วก็ผลุนผันไปเอาจะงอยปากเคาะต้นตะเคียนต้นหนึ่งสุดแรงเกิด ดัง "ป๊อก ๆ ๆ"ทันใดนั่นเองจะงอยปากของมันได้หักทันทีตาทะลักออก หัวแตกตกจากต้นไม้ลงพื้นดิน นอนดิ้นไปมาได้ร้องถามก่อนสิ้นใจว่า
          "สหาย ต้นไม้ที่มีใบละเอียด มีหนามนี้เป็นต้นอะไร เราเจาะเพียงครั้งเดียว ทำให้สมองไหลหัวแตกเสียแล้ว" นกขิทรวนิยะได้ร้องตอบเป็นคาถาว่า
          "นกกันทคลกะ เมื่อเจาะหมู่ไม้ในป่าได้เคยเที่ยวเจาะแต่ไม้แห้งที่ไม่มีแก่น ภายหลังมาพบต้นตะเคียนซึ่งมีแก่นโดยธรรมชาติ ได้ทำลายกระหม่อมที่ต้นตะเคียนนั้นแล้ว"
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าอวดเก่งในสิ่งที่ตนเองไม่ชำนาญ

08 สตธรรมชาดก : อาหารไม่บริสุทธิ์


อาหารไม่บริสุทธิ์
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภการแสวงหาไม่ควร ๒๑ ประการ มีการเป็นพระหมอดู เป็นต้น ของพวกภิกษุ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นคนจัณฑาล (คนทุกข์ยาก) ในเมืองพาราณสี เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว วันหนึ่งได้เดินทางไปต่างเมืองด้วยกิจธุระอย่างหนึ่ง จึงเตรียมข้าวสารและห่อข้าวเป็นเสบียง ในวันนั้น สตธรรมมานพ ลูกชายของพราหมณ์ตระกูลดังประจำเมืองพาราณสีก็เดินทางไกลเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เตรียมเสบียงอาหารอะไรไปด้วย
          ชายหนุ่มทั้งสองคนมาพบกันที่ทางใหญ่ สนทนากันทราบเรื่องแล้วก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วยกัน พอเดินทางไปได้เวลาอาหารเช้า ก็ชวนกันแวะลงข้างทางที่สระน้ำลูกหนึ่ง พระโพธิสัตว์ล้างมือแล้วแก้ห่อข้าว เชิญชวนสตธรรมมานพร่วมกินข้าวด้วยกัน เมื่อได้รับคำปฏิเสธจากสตธรรมมานพแล้วก็แบ่งข้าวไว้ครึ่งหนึ่ง กินไปครึ่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ห่อไว้ตามเดิม ล้างมือแล้วชวนกันออกเดินทางต่อไป
          จนกระทั่งเวลาเย็นชายหนุ่มทั้งสองจึงชวนกันแวะลงข้างทางอาบน้ำในสระแห่งหนึ่ง แล้ว พระโพธิสัตว์ก็แวะไปนั่งกินข้าวอย่างสำราญอยู่คนเดียวโดยไม่ได้เชิญชวนสตธรรมมานพอีก เพราะเข้าใจว่าถึงชวนก็คงไม่กินอยู่ดี ฝ่ายสตธรรมมานพเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน หิวข้าวก็หิวได้แต่มองดูเขากินข้าว พร้อมกับคิดในใจว่า
               "ถ้าเขาชวนเรากินข้าวด้วย ครั้งนี้เราต้องกินด้วยแน่ ๆ"
               พระโพธิสัตว์ก็ไม่พูดอะไรกินข้าวท่าเดียว
               สตธรรมมานพจึงคิดว่า "มันไม่ชวนเรา เราจะแอบกินข้าวเหลือเดนมันก็ได้วะ"
               เขาได้แอบไปกินข้าวเหลือเดนนั้น เมื่อกินเสร็จแล้วก็เกิดความไม่สบายใจว่า
               "เราทำอะไรนี่ กินอาหารเหลือเดนของคนจัณฑาล ทำสิ่งที่ไม่ดีแล้ว"
               ทันใดนั่นเองเขาก็ได้อาเจียนออกมาเป็นเลือดคร่ำครวญอยู่ว่า
               "เรากินอาหารที่เป็นเดนของคนสกุลต่ำ เราเป็นชาติพราหมณ์บริสุทธิ์ไม่น่าจะทำเลย"
          คร่ำครวญเสร็จก็เดินโซซัดโซเซเข้าป่าไปและเสียชีวิตในที่สุด
          พระพุทธองค์เมื่อตรัสอดีตนิทานแล้วจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เพราะสตะรรมมานพบริโภคอาหารอันเป็นเดนของคนจัณฑาล จึงคิดเสียใจ ฉันใด ผู้บวชในพระพุทธศาสนานี้ก็ไม่ควรเลี้ยงชีพด้วยการแสวงหาที่ไม่เหมาะไม่ควร ฉันนั้น" ได้ตรัสพระคาถาว่า
          "ภิกษุใดละทิ้งธรรมเสีย หาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรมภิกษุนั้นก็ย่อมไม่เพลินด้วยลาภแม้ที่ตนได้มาแล้วเปรียบเหมือนสตธรรมมานพ"
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่ากินอาหารโดยไม่พิจารณาเสียก่อน และอย่าเลี้ยงชีพด้วยอาชีพที่ผิดกฎหมาย

07 ปัณฑรกาชาดก : นาคกับพญาครุฑ

นาคกับพญาครุฑ
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พูดมุสาแล้วถูกแผ่นดินสูบ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีประมาณ ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปในมหาสมุทรเพื่อไปค้าขายเมือง อื่น ในวันที่ ๗ สำเภาถูกพายุกระหน่ำล่มกลางทะเล ผู้คนล้มตาย เป็นเหยื่อของปลาหมดหลงเหลือเพียงชายคนหนึ่งถูกลมพัดกระหน่ำไปขึ้นที่ฝั่งท่าน้ำกทัมพิยะ เสิ้อผ้าไม่มี เปลือยกายล่อนจ้อน เดินเที่ยวขอทานอยู่
          พวกชาวบ้านพบเห็นเขาก็พากันยกย่องเขาว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นนักบวช จึงพากันสักการะบูชาเขาเป็นการใหญ่ นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะนุ่งห่มเสื้อผ้าได้ลาภสักการะจำนวนมาก ถูกคนเรียกหาว่า กทัมพิยอเจลกะ (ชีเปลือยทัมพิยะ)
          ในสมัยนั้น มีพญานาคตนหนึ่งชื่อบัณฑรกนาคราช และพญาครุฑตนหนึ่งจะพากันมาปรึกษาชีเปลือยนั้นอยู่เป็นประจำอยู่มาวันหนึ่งพญาครุฑมาหาชีเปลือยแล้วขอร้องว่า "ท่านขอรับพวกญาติของผมจำนวนมาก ตายเพราะจับพวกนาคโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอความกรุณาจากท่านช่วยถามพญานาคให้ผมด้วยเถิด"
          ชีเปลือยนั้นรับคำจะถามให้ เมื่อพญานาคมาหาจึงถามความนั้นพญานาคตอบว่า "ท่านขอรับเรื่องนี้เป็นความลับของพวกกระผม ถ้าผมบอกท่านเท่ากับผมนำความตายมาสู่ตนเอง และพวกญาติ จึงไม่ขอตอบได้ไหม"
          ชีเปลือย "พญานาค เราจะไม่บอกใครหรอก ถามเพราะอยากจะทราบเท่านั้นเองละ จงบอกเถิด"
          พญานาคตอบว่า "ผมบอกไม่ได้หรอกครับท่าน" ไหว้ชีเปลือยแล้วก็กลับไป ชีเปลือยถามเช่นนั้นอยู่ ๒ วัน พญานาคก็ไม่ยอมบอกเช่นเดิม ในวันที่ ๓ พญานาคพอถูกชีเปลือยถามอีกจึงกำชับชีเปลือยอย่าได้บอกใคร แล้วก็เล่าให้ฟังว่า "ท่านขอรับเพราะพวกกระผมกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนักนอนอยู่ เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางของพวกเราหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกเราไปได้ ความลับก็มีอยู่เท่านี้แหละท่าน" แล้วก็ลากลับไป
          อีกวันต่อมา เมื่อพญาครุฑมาหาเปลือยผู้ทุศีลก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พญาครุฑจึงปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า "ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ "
          พญาครุฑพูดว่า "ท่านนาคราช ท่านบอกความลับแก่ชีเปลือยแล้ว จะมาคร่ำครวญอยู่ทำไม สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลกขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครๆ ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
          "บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับแก่สตรี ศัตรู คนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ"
          พญานาคได้ฟังธรรมของพญาครุฑแล้วอ้อนวอนขอชีวิตว่า "ท่านพยาครุฑ ข้าพเจ้าขอชีวิตจากท่าน ขอท่านจงตั้งตนดุจเป็นมารดาของข้าพเจ้าเถิด"
          พญาครุฑตอบว่า "เอาเถอะ เราจะปล่อยท่านไป แต่ว่า บุตรมี ๓ จำพวก คือ ศิษย์ บุตรบุญธรรม และบุตรตัวเอง ท่านยินดีจะเป็นบุตรประเภทไหนของเราละ" ว่าแล้วก็ปล่อยพญานาคไป สัตว์ทั้ง ๒ ก็อยู่กันอย่างสามัคคีกันเช่นเดิม
          ต่อมาวันหนึ่งสัตว์ทั้ง ๒ ได้ชวนกันไปหาชีเปลือยอีก พญาครุฑทราบว่าพญานาคจักหมายชีวิตชีเปลือย จึงไม่เข้าไปหาปล่อยให้แต่พญานาคผู้เดียวเข้าไปหาชีเปลือยนั้น พญานาคได้กล่าวติเตียนและสาบแช่งชีเปลือยว่า "ท่านเป็นคนเลวทรามประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ไม่รักษาคำสัตย์ ขอให้หัวของท่านจงแตกเป็น ๗ เสี่ยง" กล่าวจบก็พากันกลับไปที่อยู่ของตนส่วนชีเปลื่อยพอสัตว์ทั้ง ๒ จากไปเท่านั้น หัวก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยงสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในนรก
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความลับไม่ควรเปิดเผยให้ใครที่ไหนทราบดังคำมีว่า ความลับไม่ให้ถึงสาม ความงามไม่ให้ถึงสี่ ความมิดความหมี่ไม่ให้ถึงห้าถึงหก
 

06 มหาสุวราชชาดก : พญานกแขกเต้าผู้สันโดษ

พญานกแขกเต้าผู้สันโดษ
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ ธรรมดาสมณเมื่อมาถึงเสนาสนะเป็นที่สบายแล้วก็ไม่ควรโลภในอาหาร ยินดีตามมีตามได้ ปฏิบัติสมณธรรม โบราณบัณฑิตแม้เป็นสัตว์ดิรัจฉาน กินผงแห้งของต้นไม้ที่ตนอยู่อาศัย มีความสันโดษไม่ทำลายมิตธรรมหนีไปที่อื่นเลย" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่ป่าไม้มะเดื่อแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา มีนกแขกเต้าหลายแสนตัว ต่อมาในฤดูแล้งผลมะเดื่อได้หมดลง นกแขกเต้าทั้งหลายได้พากันบินหนีไปหากิน ณ ที่อื่น ยังคงเหลือแต่พญานกแขกเต้าตัวหนึ่งเท่านั้น เป็นผู้มักน้อยสันโดษไม่หนีไปที่อื่น เมื่อผลมะเดื่อหมดก็กินหน่อ ใบ เปลือกและสะเก็ดของต้นมะเดื่อตามลำดับโดยไม่คิดจะหนีไปไหน เป็นเหตุให้บัลลังก์ของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน เพื่อทดสอบจิตใจของพญานกแขกเต้า ท้าวเธอจึงบันดาลให้ต้นมะเดื่อที่นกแขกเต้าอาศัยอยู่นั้นตายและแห้งลงมีลำต้นแตกเป็นช่องน้อยใหญ่ เวลาลมพัดจะมีเสียงดัง มีผงไม้ไหลออกมาตามช่องที่แตกนั้น นกแขกเต้าก็ไม่หนีไปไหนก็ยังกินผงไม้ไหลออกมาตามช่องที่แตกนั้นแหละเป็นอาหาร จนสุดท้ายต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ พญานกแขกเต้าก็ไม่หนีไปไหน ยังคงจับอยู่ที่ตอต้นไม้นั้น
          ท้าวสักกะเมื่อทราบว่าพญานกแขกเต้ามีความมักน้อยสันโดษจริง ๆ จึงแปลงร่างเป็นพญาหงส์ มีนางสุชาดาเป็นนางหงส์ติดตามไปด้วย บินไปจับที่ตอมะเดื่อใกล้พญานกแขกเต้านั้นแล้วเจรจาว่า
          "นกแขกเต้า ผู้มีจะงอยปากสีแดงท่านควรไปที่อื่นได้แล้วอย่ามาตายที่ตรงนี้เลย ท่านมาเยื่อใยอะไรกับต้นไม้แห้งนี้ ต้นไม้อื่นมีถมเถไป"
          พญานกแขกเต้าร้องตอบว่า "ท่านพญาหงส์ใครเป็นเพื่อนในยามทุกข์ยาก ผู้นั้นเป็นสัตบุรุษ ย่อมไม่ทอดทิ้งเพื่อนผู้มีทรัพย์และไร้ทรัพย์ ต้นไม้นี้เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งญาติของเรา เราเพียงต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงไม่อาจทิ้งต้นไม้นี้ไปได้ เพราะเหตุเพียงไม่มีผล นี่ไม่ยุติธรรมเลย"
          พญาหงส์พอได้ฟังก็ยินดีและสรรเสริญว่า "นกแขกเต้าความเป็นเพื่อนไมตรีสนิทสนมคุ้นเคยกันกับต้นไม้ท่านทำไว้ดีแล้ว ขอสรรเสริญท่านเราจะให้พรแก่ท่าน ท่านจงเลือกพรตามในประสงค์เถิด"
          พญานกแขกเต้าขอพรว่า "ท่านพญาหงส์..เราขอเพียงให้ต้นไม้นี้มีชีวิตมีผลหวานอร่อยเหมือนเดิมเท่านั้นก็พอ"
พญาหงส์จึงพูดว่า "นกแขกเต้า .. ขอท่านจงอยู่กับต้นมะเดื่อที่สมบูรณ์พร้อมตลอดไปเถิด" ว่าแล้วก็คืนร่างเป็นท้าวสักกะเหมือนเดิม แสดงอานุภาพทำให้ต้นมะเดื่อนั้นสมบูรณ์พร้อมทั้งใบและผลยืนต้นอย่างสง่างามเหมือนเดิม
พญานกแขกเต้าเห็นเช่นนั้นจึงสรรเสริญท้าวสักกะว่า "ท้าวสักกะ ขอพระองค์พร้อมด้วยคณาญาติ มีความสุขเหมือนข้าพระองค์มีความสุข เพราะได้เห็นต้นผลิตผลในวันนี้ด้วยเถิด"
          ท้าวสักกะครั้นประทานพรให้นกแขกเต้าได้สมประสงค์แล้วพร้อมนางสุชาดา ก็กลับคืนวิมานของตนตามเดิม
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : จงพอใจในสิ่งที่ตนมีตนได้ และเพื่อนที่ดีไม่ละทิ้งเพื่อนไปในยามทุกข์ยาก

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

05 ขุรปุตตชาดก : พระราชาผู้รู้เสียงสัตว์

พระราชาผู้รู้เสียงสัตว์
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้ถูกภรรยาเก่าเล้าโลมจนกระสัน อยากจะสึกรูปหนึ่งได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นท้าวสักกะอยู่บนสวรรค์ สมัยนั้นพระเจ้าเสนกะครองราชสมบัติในเมืองพาราณสี วันหนึ่งพระราชาเสด็จประพาสเมือง มีนาคราชตนหนึ่ง กำลังเที่ยวจับเหยื่อบนบกกินอยู่ ถูกเด็กชาวบ้านกลุ่มหนึ่งเห็นมันแล้วเข้าใจว่าเป็นงูจึงช่วยกันเอาไม้ทุบตี พระราชาเสด็จไปถึงที่นั้นพอดี จึงรับสั่งห้ามไว้และให้ปล่อยมันไป
          ฝ่ายนาคราชเมื่อมีชีวิตรอดกลับไปที่อยู่ของตนได้ก็สำนึกในบุญคุญของพระราชา ตกดึกเวลาเที่ยงคืน จึงจำแลงตนเข้าเฝ้าพระราชาถึงที่บรรทม มอบแก้วแหวนเงินทองให้พระเสนกะพร้อมผูกมิตรภาพเป็นพระสหายกัน นับตั้งแต่วันนั้น พระราชาจึงมีแขกเป็นนาคมาเข้าเฝ้าเสมอทุกคืน
          อยู่ต่อมา นาคราชได้มอบหมายให้นางนาคผู้ไม่อิ่มในกามตนหนึ่งมาประจำอยู่ข้างพระเจ้าเสนกะ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องและส่งข่าวแก่ตนยามพระราชาต้องการความช่วยเหลือ พร้อมกับมอบมนต์บทหนึ่งให้พระราชาไว้ใช้ร่ายในคราวไม่เห็นนางนาคตนนั้น
          อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเสนกะเสด็จประพาสสวนหลวงพร้อมด้วยบริวาร ขณะลงเล่นน้ำในสระ นางนาคเห็นงูน้ำตัวหนึ่งจึงแปลงร่างเป็นงูเสพสมกันอยู่ พระราชาเมื่อไม่ทรงเห็นนางนาคจึงร่ายมนต์เห็นนางนาคกำลังทำอนาจารอยู่จึงใช้ซีกไม่ไผ่ตี นางนาคโกรธจึงกลับคืนที่นาคพิภพรายงานในนาคราชทราบว่า
          "พระเจ้าเสนกะสหายท่านตีข้าพเจ้า จึงกลับมานี่แหละ"
          พร้อมกับเปิดรอยตีให้ดู นาคราชไม่ทราบความจริง หาว่าพระเจ้าเสนกะดูหมิ่นคนของตนจึงส่งนาคทหาร ๔ ตนไปทำลายที่บรรทมของพระราชา
          เมื่อนาคทหารทั้ง ๔ ตนไปถึงที่บรรทม ขณะจะลงมือทำลายก็ได้ยินคำสนทนาของพระราชากับพระเทวีว่า "น้องนางเธอรู้ไหมว่านางนาคไปไหน วันนี้นางนาคได้ทำอนาจารกับงูน้ำตัวหนึ่ง พี่จึงเอาซีกไม้ไผ่ตี เพื่อไม่ให้ทำ นางโกรธหนีกลับไปที่อยู่ของตนแล้วคงจะไปรายงานให้สหายเราทำลายมิตรภาพเสียแล้วละ ภัยกำลังจะเกิดขึ้นแก่พวกเรา"
          พวกนาคทหารจึงกลับไปรายงานความจริงแก่นาคราชนาคราชจึงเข้าเฝ้าพระราชาด้วยตนเอง เล่าความจริงให้ฟังแล้วก็ขอขมาพระองค์ ก่อนกลับเพื่อไถ่โทษจึงมอบมนต์สรรพรุตชนะที่สามารถฟังเสียงสัตว์ทุกชนิดให้พระราชาพร้อมกำชับว่า
          "สหายมนต์นี้มีค่ายิ่ง ท่านอย่าให้ใครเป็นอันขาด ถ้าท่านจะมอบให้ใครแล้ว ท่านต้องฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดเข้ากองไฟ
          ตั้งแต่นั้นมา พระเจ้าเสนกะก็ทรงสำราญกับการฟังเสียงสัตว์พูดคุยกัน วันหนึ่งพระองค์ประทับที่ท้องพระโรง เสวยของเคี้ยวจิ้มน้ำผึ้งน้ำอ้อยอยู่ บังเอิญมีน้ำผึ้ง น้ำอ้อยหยดหนึ่งและขนมชิ้นหนึ่งตกลงที่พื้น มดแดงตัวหนึ่งเห็นเข้าก็รีบตะโกนร้องเรียกพวกพ้องว่า "เอ้ย..พวกเรา ถาดน้ำผึ้งหม้อน้ำอ้อยแตกแล้วหม้อขนมคว่ำแล้วที่ท้องพระโรง มาช่วยกันกินเร็ว" พระราชาทรงสดับเสียงร้องบอกกันของมดแดงแล้ว ทรงพระสรวล พระเทวีประทับอยู่ที่ใกล้เคียงจึงสงสัยแต่ก็ไม่ถามอะไร
          เมื่อพระราชาเสวยและทรงสนานเสร็จแล้วก็ประทับบนพระราชบัลลังก์ ขณะนั้นมีแมลงวันตัวผู้กับตัวเมียสนทนากันว่า "น้องเอ๋ย พวกเรามาเสพสมกันเถิด" ตัวเมียพูดว่า "พี่คอยอีกสักหน่อย เดี๋ยวทหารจะนำของหอมมาถวายพระราชา เมื่อพระองค์ทรงลูบไล้ ผงของหอมจักตกลงมา ฉันจักไปทากลิ่นหอมก่อน เราค่อยเสพสมกันนะพี่" พระราชาทรงสดับเสียงนั้นแล้วก็ทรงพระสรวลอีก พระเทวีก็สงสัยอีกแต่ก็ไม่ทูลถามอะไร
          ต่อมาเมื่อถึงเวลาเสวยพระกระยาหารเย็น อาหราชิ้นหนึ่งหล่นที่พื้น มดแดงก็ตะโกนร้องเรียกกันอีกว่า "เฮ้ย.. พวกเราหม้อข้าวแตกแล้ว มาช่วยกันกินเร็วโว้ย" พระราชาก็ทรงพระสรวลอีก พระเทวีก็สงสัยอีก
          ในเวลาบรรทม พระเทวีจึงทูลถามพระราชา พระองค์พยายามบ่ายเบี่ยงไม่ตอบ แต่สุดท้ายทนคำอ้อนวอนไม่ได้ จึงเล่าความจริงให้ฟัง พระเทวีจึงทูลขอเรียนมนต์ด้วย พระราชาเพราะเมตตาในพระเทวี จึงยอมตาย ตกลงใจจะมอบมนต์ให้พระเทวีเรียน
          รุ่งเช้า ขณะที่พระองค์เสด็จไปประพาสสวนหลวงนั้นเทียมรถม้าไปอยู่ ท้าวสักกะทรงทราบเรื่องจึงพานางสุชาดามายังสวนหลวง จำแลงตนเป็นแพะสองผัวเมียยืนอยู่ข้างทางที่พระราชาเสด็จผ่าน แพะตัวผู้กำลังทำท่าทางเสพสมกับแพะตัวเมียอยู่ ม้าเทียมรถพระราชาจึงพูดกับแพะว่า
          "แพะเพื่อนเอ๋ย เจ้านี้โง่สมกับคำเขาว่าจริง ๆ ไม่รู้จักอะไรควรทำในที่แจ้ง อะไรควรทำในที่ลับเลยนะ"
          แพะตอบว่า "สหายเอ๋ย แกนั้นแหละโง่ ถูกเชือกรัดคอไว้มีเชือกมัดปาก เวลาเขาปล่อยแกก็ไม่หนีไป แต่ข้าว่าพระเจ้าเสนกะโง่กว่าแกเสียอีกนะ"
          ม้าสงสัยจึงถามว่า "แพะเอ๋ย ที่ว่าข้าโง่นะข้ารู้ แต่ที่ว่าพระเจ้าเสนกะโง่นะข้ารู้ แต่ที่ว่าพระเจ้าเสนกะโง่นะ เพราะเหตุไรละ?"
          แพะจึงบอกว่า "เพราะเรียนมนต์นะสิ พระเจ้าเสนกะสละชีวิตตนเพื่อให้ภรรยาเรียนมนต์ สุดท้ายตัวเองก็จะตายไม่มีภรรยา จึงโง่ไงละ"
          พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้วจึงตรัสว่า "แพะเอ๋ย ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกมาว่า ข้าควรทำอย่างไรล่ะ"
          แพะจึงตอบว่า "มหาราชเจ้า ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่รักเท่าชีวิตของตน คนไม่ควรให้ตนพินาศ ไม่ควรละทิ้งยศ เพราะคนรักอย่างเดียว"
          ว่าแล้วก็แสดงตนเป็นท้าวสักกะให้พระราชาทราบ พระราชาจึงถามว่า "เทวราช ข้าพระองค์ได้ตรัสไปแล้วจะทำอย่างไรละที่นี้"
          ท้าวสักกะจึงบอกวิธีว่า "มหาราชเจ้า ความเสียหายจะไม่มีแก่พวกท่านทั้ง ๒ ถ้าพระองค์บอกว่า ค่ายกครูมีอยู่ว่า ใครจะเรียนมนต์ต้องถูกเฆี่ยนตี ๑๐๐ ครั้ง นางจะไม่เรียนเอง"
          พระราชารับทราบแล้วเมื่อเสด็จกลับเมืองรับสั่งให้พระเทวีเข้าเฝ้าแล้วตรัสบอกอย่างนั้นพระเทวีก็รับคำว่ายินดีถูกเฆี่ยน พระองค์จึงรับสั่งให้ทหารเพชฌฆาตเฆี่ยนหลังพระเทวีด้วยหวาย ๑๐๐ ครั้ง พระเทวีพอถูกเฆี่ยนไปเพียง ๓ ทีเท่านั้น ก็ทนทานไม่ได้ร้องบอกว่าไม่ต้องการเรียนมนต์แล้ว นับแต่นั้นมาพระเทวีก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอเรียนมนต์อีกเลย
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าฟังความเมียจะเสียการงานและอย่าทำตนให้เป็นคนไร้ประโยชน์

04 ลฏูุกิกชาดก : นางนกไส้

นางนกไส้
          ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัตผู้ไม่มีความกรุณาปรานีแก่หมู่สัตว์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นพญาช้างมีช้างประมาณ ๘๐,๐๐๐ เชือก เป็นบริวารอาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ในที่ไม่ไกลจากที่อยู่ของช้างนั้นมีนางนกไส้ (นกต้อยตีวิด) ตัวหนึ่งตกฟองไข่อยู่ที่พื้นดินใกล้ทางเดินของพญาช้าง ในรังนั้นมีลูกนกออกใหม่หลายตัว
          วันหนึ่ง พญาช้างนำบริวารหากินไปถึงที่นั้น นางนกไส้เห็นช้างกำลังเดินมา กลัวว่าจะเหยียบลูกน้อยจึงประคองปีกทั้งสองข้างยืนอยู่ต่อหน้าพญาช้างพูดอ้อนวอนว่า "ท่านพญาช้าง ข้าพเจ้าขอไหว้ท่านด้วยปีกทั้งสอง ขอพวกท่านอย่าได้เหยียบลูกน้อยของข้าพเจ้าผู้ไม่มีกำลังเลย" พญาช้างตอบว่า "แม่นางนกไส้ ไม่ต้องกลัวเราจะรักษาลูกของเจ้าให้เอง" ว่าแล้วก็ยืนค่อมรังนกไว้ ให้ช้างบริวารเดินผ่านไปก่อน แล้วได้กล่าวเตือนนางนกไส้ว่า "ยังมีช้างเกระเชือกหนึ่งมักหากินผู้เดียวจะตามหลังมา เขาไม่อยู่ในโอวาทเรา เจ้าจงอ้อนวอนเขาเองนะ" ว่าแล้วก็เดินตามหลังช้างบริวาร ต่อมาไม่นานช้างหัวดื้อชอบแตกโขลงตัวนั้นก็มาถึงที่นั้น นางนกไส้ก็แสดงตนพร้อมพูดอ้อนวอนเหมือนกับครั้งก่อน ช้างนั้นพอได้ฟังว่ามีลูกนกอยู่ข้างหน้ายิ่งชอบใจใหญ่ กล่าวตอบนางนกไส้ว่า "แม่นางนกไส้เอ๋ย.. เราจักฆ่าลูกน้อยของเจ้าทั้งหมด เจ้าจะมีปัญญาทำอะไรเราได้" ว่าแล้วก็เดินเข้าไปกระทืบรังนกแหลกละเอียดแล้วร้องแป้นๆ เดินจากไป
          ฝ่ายนางนกไส้ที่บินหนีตายขึ้นไปจับบนกิ่งไม้ ได้พูดอาฆาตตามหลังช้างนั้นไปว่า "เจ้าช้างเกเร วันนี้เป็นวันของท่าน ปล่อยให้ท่านไปก่อน วันข้างหน้าเราจะเห็นดีกัน การใช้กำลังทำลายผู้ไม่มีกำลังไม่ดีแน่สำหรับท่าน" กล่าวจบก็บินไปขอความช่วยเหลือจากกา กาถามว่าจะให้ช่วยเหลืออะไร นางนกไส้จึงเล่ารายละเอียดให้ฟังว่า "ท่านกา ขอเพียงท่านช่วยจิกตาช้างให้บอดเท่านั้นเอง กาก็รับคำช่วยเหลือนั้น
          นางนกไส้เข้าไปหาแมลงวันหัวเขียว เล่าเรื่องให้ฟังแล้วขอความช่วยเหลือให้แมลงวันหัวเขียวไข่ใส่ตาช้าง แมลงวันก็รับคำช่วยเหลือ ต่อจากนั้นก็เข้าไปหากบตัวหนึ่ง เล่าเรื่องให้ฟัง และก็ขอความช่วยเหลือว่า "ท่านกบเมื่อช้างตาบอดและแมลงวันไข่ใส่ตามันแล้วมันก็จะแสวงหาน้ำดื่ม ขอให้ท่านไปอยู่ที่ปากเหวส่งเสียงร้องล่อช้างไปตกเหวให้หน่อย" กบก็รับคำช่วยเหลือ
          หลายวันต่อมา นางนกไส้เสาะแสวงหาจนพบช้างเกเรตัวนั้นแล้วจึงไปบอกกา กาได้ไปจิกตานั้นบอดทั้งสองข้างแมลงวันหัวเขียวก็ไปไข่หนอนใส่ตาช้างอีก สร้างความเจ็บปวดทรมานให้แก่ช้างเป็นอย่างยิ่ง สองสามวันต่อมาช้างเดินสะเปะสะปะโซซัดโซเซแสวงหาสระน้ำดื่ม ได้ยินเสียงกบร้องแว่วมาแต่ไกลจึงกำหนดทิศทางเสียงกบด้วยเข้าใจว่ากบร้องอยู่ข้างสระน้ำ เดินไปไม่นานก็ผลัดตกเหวตายในที่สุด สร้างความดีใจแก่นางนกไส้เป็นอย่างยิ่งที่ศัตรูได้ตายไป
          พระพุทธองค์เมื่อเล่านิทานจบจึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายขึ้นชื่อว่าเวรไม่ควรทำกับใคร ๆ แม้สัตว์ทั้ง ๔ ร่วมมือกันทำให้ช้างผู้มีกำลังกว่าให้ตายได้" แล้วตรัสพระคาถาว่า
          "ท่านจงดูกา นางนกไส้ กบ และแมลงวันหัวเขียว สัตว์เหล่านี้ได้ฆ่าช้างแล้ว จงดูการจองเวรของคนคู่เวรทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พวกเธออย่าได้ก่อเวรกับใคร ๆ แม้กับคนไม่เป็นที่รักเลย"
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อย่าคิดข่มเหงคนอื่น ด้วยการดูถูกว่าเขามีกำลังน้อยกว่า เพราะการสร้างเวรย่อมนำความเดือดร้อนมาให้

03 กากาติชาดก : นางกากี

นางกากี
          ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถีทรงปรารภภิกษุผู้กะสันจะสึกรูปหนึ่งตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ ธรรมดามาตุคาม (แม่บ้าน) ใคร ๆ ก็รักษาไว้ไม่ได้ โบราณบัณฑิตในครั้งก่อน ถึงจะยกมาตุคามขึ้นไปไว้ในวิมานฉิมพลีในท่ามกลางมหาสมุทรก็ไม่อาจรักษาสตรีได้" แล้วได้นำอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพระราชาผู้ครองเมืองพาราณสี มีมเหสีพระนามว่า กากาติ มีพระรูปโฉมงดงามยิ่ง ใครเห็นใครก็ลุ่มหลงในความงาม ในวันหนึ่งมีพญาครุฑตนหนึ่งแปลงร่างเป็นมนุษย์มาเล่นสกา (การพนันชนิดหนึ่ง)กับพระราชา ได้พบเห็นพระนางกากาตินั้นแล้วเกิดความรักใคร่ในนาง จึงแอบพานางหนีไปอยู่ที่วิมานฉิมพลีอันเป็นที่อยู่ พระราชาเมื่อไม่พบเห็นพระเทวีจึงตรัสเรียกคนธรรพ์ชื่อ นฏกุเวรมาเข้าเฝ้า พร้อมมอบหมายให้นำพระเทวีกลับมาให้ได้
          ฝ่ายคนธรรพ์ทราบที่อยู่ของครุฑแล้ว จึงไปนอนแอบซุ่มอยู่ในดงตะไคร้ข้างสระลูกหนึ่ง พอครุฑบินไปจากสระก็แอบกระโดดเกาะระหว่างปีกครุฑไปจนถึงวิมานฉิมพลี แอบได้เสียกับพระนางกากาติที่วิมานนั้น แล้วก็อาศัยครุฑนั้นแหละกลับมาเมืองพาราณสีอีก ในวันหนึ่งขณะที่พญาครุฑเล่นสกากับพระราชาอยู่ คนธรรพ์ก็ทำทีเป็นถือพิณมาที่สนามสกา ขับร้องเป็นเพลงว่า
          "หญิงรักคนรักของเราอยู่ ณ ที่แห่งใด กลิ่นของนางยังหอมฟุ้งมาที่แห่งนั้น ใจของเรายินดีในนางใด นางนั้นชื่อกากาติ อยู่ไกลจากที่นี้"
          พญาครุฑพอได้ฟังแล้วสะดุ้งจึงถามเป็นนัยว่า "ท่านข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งไปได้อย่างไร ท่านขึ้นวิมานฉิมพลีได้อย่างไร" นฏกุเวรจึงตอบว่า "เราข้ามทะเลมหาสมุทรทั้ง ๗ แห่งได้ก็เพราะท่าน ขึ้นวิมานฉิมพลีได้ก็เพราะท่านนั้นแหละ"
          พญาครุฑพอได้ทราบความจริงแล้ว ก็กล่าวติเตียนตนด้วยความเสียใจว่า "ช่างน่าติเตียนเสียนี่กระไร เรามีร่างกายใหญ่โตเสียเปล่าไม่มีความคิด จึงเป็นพาหนะให้ชายชู้ของเมียทั้งไปและกลับ น่าเจ็บใจจริง ๆ" กล่าวจบก็คืนร่างเป็นพญาครุฑไปนำพระนางกากาติมาคืนพระราชาแล้วไม่หวนคืนกลับมาเล่นสกากับมนุษย์อีกเลย
          นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ไม่มีใครจะเก็บรักษาสตรีไว้ได้นอกจากสตรีนั้นจะรักษาตนเอง